ในบรรดาเทคนิคการวิเคราะห์กราฟแบบ Price Action ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน BOS หรือ Break of Structure ถือเป็นหนึ่งในคอนเซปต์ที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ระบุทิศทางและแนวโน้มของตลาดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น BOS คืออะไร BOS ย่อมาจาก Break of Structure หมายถึงจุดที่ราคาทะลุผ่าน Swing High หรือ Swing Low ครั้งล่าสุดไปได้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกราฟจากที่เคยเป็นมา เมื่อ BOS เกิดขึ้น มันมักจะสื่อถึงการเปลี่ยนทิศทางของเทรนด์หรืออย่างน้อยก็เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะสั้นไปจนถึงระยะกลาง โดยเราสามารถแบ่ง BOS ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ตามทิศทางของการเคลื่อนไหวได้แก่ Bullish BOS เกิดเมื่อราคาทะลุผ่าน Swing High ล่าสุดขึ้นไปได้ บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นขาขึ้น Bearish BOS เกิดเมื่อราคาทะลุผ่าน Swing Low ล่าสุดลงมาได้ บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นขาลง ลักษณะสำคัญของ BOS BOS นั้นมีหลายลักษณะที่เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจ เช่น …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
PDL PDH Forex คือ อะไร ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาด Forex นั้น มีเครื่องมือและอินดิเคเตอร์มากมายที่นักเทรดนิยมใช้กัน หนึ่งในนั้นคือการวิเคราะห์โดยใช้ระดับราคาสำคัญของวันก่อนหน้า ซึ่งเรียกว่า PDL และ PDH นั่นเอง ความหมายของ PDL และ PDH PDL ย่อมาจาก Previous Day Low หมายถึง จุดต่ำสุดของราคาในช่วง 1 วันที่ผ่านมา PDH ย่อมาจาก Previous Day High หมายถึง จุดสูงสุดของราคาในช่วง 1 วันที่ผ่านมา ระดับราคาเหล่านี้สามารถหาได้ง่ายๆ โดยการดูแท่งเทียนของวันก่อน (Daily Candle) แล้วระบุจุดสูงสุดและต่ำสุดของมัน ซึ่งสามารถใช้เป็น Support และ Resistance ที่สำคัญได้ ความสำคัญของ PDL และ PDH แนวคิดหลักของการใช้ PDH และ PDL …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
SMC คืออะไร SMC คือการวิเคราะห์ตลาด Forex โดยอาศัยพฤติกรรมของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ หรือ Smart Money ซึ่งมักหมายถึงสถาบันการเงิน ธนาคารกลาง กองทุนประเภทต่างๆ หรือแม้แต่เทรดเดอร์ระดับแนวหน้าของโลกเป็นหลัก เหล่า Smart Money เหล่านี้ มีอิทธิพลอย่างมากในการขับเคลื่อนทิศทางของราคา เนื่องจากมีเม็ดเงินลงทุนในปริมาณมหาศาล สามารถสร้างกระแสซื้อขายให้กับคู่สกุลเงินที่ตนสนใจได้ในทันที ดังนั้นการติดตามและทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของ Smart Money จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดแบบ SMC ที่จะทำให้เราคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น แนวคิดหลักของ SMC ทฤษฎี SMC มองว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นไม่ได้เป็นไปตามยถากรรม แต่มักจะถูกควบคุมและบงการโดย Smart Money เป็นหลัก โดยมีหลักการพื้นฐานดังนี้ ตลาดมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ Smart Money ต้องการเสมอ Smart Money มักจะค่อยๆ สะสมออเดอร์ในช่วงที่ตลาดผันผวน เพื่อรอจังหวะที่จะปั่นราคาไปในทิศทางที่วางแผนเอาไว้ ราคามักจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและรุนแรง เมื่อ Smart Money ได้คำสั่งซื้อขายเข้ามาอย่างหนาแน่น เมื่อ Smart Money พอใจกับกำไรหรือขาดทุนในระดับหนึ่งแล้ว ก็จะรีบออกจากตลาด …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
FVG คืออะไร Fair Value Gap (FVG) คือช่องว่างของราคาที่เกิดขึ้นจากการที่ตลาดขาดสมดุล (Imbalance) ระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วเพื่อไปปิด Gap ที่เกิดขึ้น โดยปกติแล้วราคาในตลาดจะมีการเคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะท้อนถึงการซื้อขายที่มีความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการสะสมของออเดอร์ในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป อีกฝั่งหนึ่งจะเกิดการขาดแคลนคำสั่งซื้อหรือขายในระดับราคานั้นๆ ทำให้ตลาดไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น Smooth และเกิดการกระโดดของราคาขึ้นมา ช่วงที่ราคามีการกระโดดอย่างรวดเร็วนี้เอง ที่เรียกว่าเป็น Fair Value Gap ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลของอุปสงค์อุปทานในตลาด ก่อนที่ราคาจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อ Gap ถูกปิดลง FVG มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity) เช่นในช่วงเปิดตลาดหลังวันหยุดยาว หรือระหว่างช่วงเวลา Midnight เป็นต้น เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดน้อยจึงทำให้เกิดความไม่สมดุลได้ง่าย ความสำคัญของ FVG ในมุมมอง ICT ตามความเชื่อของ ICT แล้ว FVG ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มักเป็นผลมาจากการกระทำของ Smart Money (SM) ในตลาดเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก SM มักจะใช้กลยุทธ์การเทรดที่มุ่งเน้นเข้าไปในจุดที่มีสภาพคล่องต่ำ แล้วทำการกวาดออเดอร์ของรายย่อยจำนวนมากเพื่อผลักดันราคาไปยังทิศทางที่ต้องการ …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
Order Block คืออะไร Order Block (OB) คือกลุ่มแท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนทิศทางของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยปกติแล้ว OB จะมีลักษณะเป็นแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่ และเกิดขึ้นหลังจากมีการพักตัวของราคาในกรอบแคบๆ (Consolidation) มาสักระยะหนึ่ง OB ถือเป็นคลังที่สะสม Liquidity ของตลาดเอาไว้ เนื่องจากเป็นช่วงที่นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาวางคำสั่งซื้อหรือขายอย่างหนาแน่น เพื่อรอการระเบิดของราคาหลังจากอยู่ในภาวะ Sideway มาพอสมควร โดยทั่วไป Order Block จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ Bullish Order Block (BOB) – เกิดขึ้นเมื่อมีแท่งเทียนที่มีพื้นที่ใหญ่ปรากฏขึ้นหลังการ Breakout เหนือกรอบ Sideway ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้น Uptrend Bearish Order Block (BEB) – เกิดขึ้นเมื่อมีแท่งเทียนที่มีพื้นที่ใหญ่ปรากฏขึ้นหลังการ Breakdown ใต้กรอบ Sideway ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณของการเริ่ม Downtrend ความสำคัญของ Order Block ในมุมมอง ICT …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
Order Block คืออะไร Order Block (OB) คือแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่หรือกลุ่มแท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลังจากราคาเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง Consolidation หรือ Sideway มาพักหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกถึงการเกิดแรงซื้อขายจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาในตลาด โดย OB มักจะมีพฤติกรรมดังนี้: เกิดขึ้นหลังจากการพักตัวหรือพักฐานของราคาในกรอบแคบๆ มีแท่งเทียนขนาดใหญ่อย่างน้อย 1 แท่ง ที่เป็นตัวนำของการเคลื่อนไหวนั้นๆ มีการรวมตัวของแท่งเทียนในทิศทางเดียวกันต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 แท่ง ความแตกต่างระหว่าง Bullish และ Bearish Order Block Order Block นั้นแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามทิศทางการเกิดคือ Bullish Order Block และ Bearish Order Block ซึ่งมีลักษณะและความหมายต่างกันดังนี้ Bullish Order Block (BOB) คือ OB ที่เกิดขึ้นจากการที่ราคาสามารถ Breakout เหนือกรอบ Consolidation ขึ้นไปได้ บ่งบอกถึงการมีแรงซื้อหนาแน่นเข้ามาในตลาด …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
Breaker Block คืออะไร Breaker Block คือแท่งเทียนหรือกลุ่มของแท่งเทียนที่เกิดขึ้นหลังจากราคาทะลุผ่าน Swing High หรือ Swing Low ครั้งล่าสุดไปได้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกราฟ (Structure) อย่างชัดเจน ลักษณะสำคัญของ Breaker Block มีดังนี้: เป็น Block ที่มีการปิดราคาเหนือ Swing High ครั้งล่าสุด (กรณีขาขึ้น) หรือต่ำกว่า Swing Low ครั้งล่าสุด (กรณีขาลง) ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแท่งเทียนอย่างน้อย 1-3 แท่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นแท่งเดียว แท่งเทียนมักมีขนาดใหญ่ น้ำหนักหนัก และสัดส่วนเทียนเต็มเกือบทั้งแท่ง แสดงถึงแรงซื้อขายที่เด่นชัด หลังจากเกิด Breaker Block ขึ้นแล้ว ราคามักจะมีการพักตัวหรือย้อนกลับมาเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไปในทิศทางเดิมต่อ ความสำคัญของ Breaker Block ในมุมมอง ICT ตามความเชื่อของกลุ่มเทรดเดอร์ ICT นั้น Breaker Block …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
Order Block กับ Demand ต่างกันอย่างไร ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาด Forex นั้น มีคอนเซปต์ที่เกี่ยวข้องกับโซนสำคัญๆ ของราคาอยู่หลายแบบ ซึ่งสองคอนเซปต์ที่มักถูกเข้าใจผิดและใช้สับสนกันอยู่บ่อยๆ ก็คือ Order Block และ Demand Zone นั่นเอง แม้ทั้งสองแนวคิดนี้จะมีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนในแง่ของนิยาม วิธีการระบุ และการประยุกต์ใช้ ซึ่งบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจให้กระจ่าง พร้อมแนะนำเทคนิคการวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้นำไปใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Order Block คืออะไร Order Block (OB) คือแนวคิดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการเทรด ICT (Inner Circle Trader) ซึ่งเชื่อว่าเป็นบริเวณสำคัญที่สุดบนกราฟ ที่เหล่า Smart Money มักจะเข้ามาวางออเดอร์จำนวนมหาศาลเอาไว้ โดย OB จะมีลักษณะเป็นแท่งเทียนหรือกลุ่มแท่งเทียนที่มีความผิดปกติอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของขนาด รูปร่างและทิศทาง ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ มาสักพัก ก่อนที่จะมีการดีดหรือร่วงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว OB แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ Bullish …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
Block Zone คืออะไร Block Zone คือการรวมกันของ Order Block หลายๆ อันในบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโซนสำคัญที่ Smart Money มักวางออเดอร์ไว้อย่างหนาแน่นเป็นพิเศษ โดยปกติ Block Zone จะมีอายุการใช้งานได้นานกว่า Order Block ทั่วไป เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีความเข้มข้นของ Supply และ Demand สูงมาก ลักษณะสำคัญของ Block Zone มีดังนี้: ประกอบด้วย Order Block อย่างน้อย 2-3 อันที่อยู่ในระดับราคาใกล้กัน มีการขยายตัวของโซนออกไปทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง ให้ความกว้างและหนามากกว่า OB ปกติ แต่ละ OB ที่อยู่ใน Block Zone จะมีคุณสมบัติหลักๆ ครบถ้วน เช่น มีขนาดใหญ่ ไม่มี Wick ที่ชัดเจน เกิดจากการ Break Structure …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>
Rejection Block คืออะไร Rejection Block เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของ ICT (Inner Circle Trader) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์ โดยอาศัยการวิเคราะห์ราคาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งมักจะมีการสะสมออร์เดอร์ (liquidity) และกระตุ้นการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว นิยาม Rejection Block Rejection Block คือ รูปแบบราคาที่เกิดขึ้นหลังจากการกวาดสะสมออร์เดอร์ของนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งจะเห็นได้จากการเกิดแท่งเทียนที่มี rejection wick ยาวๆ ทั้งขาขึ้นและขาลง ก่อนที่ราคาจะย้อนกลับมายังทิศทางเดิม ทำให้เกิด market structure ใหม่ขึ้น นั่นคือเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลงนั่นเอง ประเภทของ Rejection Block Rejection Block แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Bullish Rejection Block เกิดขึ้นเมื่อราคาลงไปกวาด liquidity บริเวณด้านล่าง แล้วเกิดแท่งเทียนที่มี lower wick ยาวๆ หนึ่งหรือสองแท่ง หลังจากนั้นราคาจะดีดกลับขึ้นมา พร้อมกับเกิด …..คลิ๊กเพื่ออ่าน>>>